The gateway to business Nakhon si thammarat เราคือผู้นำคุณสู่ธุรกิจนครศรีธรรมราช
พุธ, 24 เม.ย. 2024
 
 

Pic of month

หนังสือพิมพ์เมืองนคร

No images

สภาพอากาศปัจจุบัน

ทำงานเพื่อยังชีพหรือมีชีวิตเพื่องาน
เขียนโดย Web01   
วันศุกร์ที่ 31 กรกฏาคม 2009 เวลา 07:07 น.

    
            ท่านผู้อ่านลองสังเกตไปรอบ ๆ ตัวนะครับ แล้วจะพบว่าแนวโน้มหนึ่งที่เริ่มจะพบมากขึ้นในคนทำงานในยุคใหม่คือการเลือกระหว่างอาชีพกับครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบรรดาคนที่เราเรียกว่า Knowledge Workersทั้งหลาย

           จริงอยู่ถ้าเป็นผู้ที่จบการศึกษาใหม่ ๆ เพิ่งเริ่มต้นเข้าทำงานปรากฏการณ์ดังกล่าวอาจจะพบเจอไม่มาก แต่พอทำงานไปได้ระยะหนึ่ง คนทำงานเริ่มมีครอบครัว หรือหันมาให้ความสนใจกับชีวิตส่วนตัวมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เป็น Gen X ทั้งหลาย (พวกนี้อายุปัจจุบันอยู่ในช่วงประมาณ 40 บวก/ลบ) ก็จะเริ่มถึงทางหลายแพร่งระหว่างการเลือกการที่จะเติบโตในวิชาชีพกับเลือกชีวิตส่วนตัวและชีวิตครอบครัว

          มีคำถามที่น่าสนใจว่าเมื่อถึงวัยหรือช่วงจังหวะหนึ่งของชีวิตเราจำเป็นต้องเลือกระหว่างอาชีพกับชีวิตส่วนตัวหรือไม่? เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะโดดเด่นทั้งสองด้าน นั่นคือมีความรุ่งโรจน์ในหน้าที่การงาน ประสบความสำเร็จ ทั้งในด้านตำแหน่ง สถานะทางสังคมและฐานะทางการเงินในขณะเดียวกันก็มีครอบครัวที่อบอุ่น มีเวลาให้กับครอบครัวมีเวลาในการดูแลสุขภาพของตนเองมีเวลาทำในสิ่งที่ตนเองมีความชื่นชอบ(นอกเหนือจากงาน) ฯลฯ ท่านผู้อ่านลองมองไปรอบๆ ซิครับเราจะพบคนที่รุ่งโรจน์และโดดเด่นทั้งสองอย่างยากพอสมควรนะครับ

            ที่พอจะพบได้ก็คือคุณผู้ชายประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน โดยที่ภรรยาเสียสละออกมาใช้เวลาให้กับครอบครัว แต่เราก็มักจะพบว่า คุณผู้ชายเหล่านี้ก็มักจะกลับบ้านดึก ๆ คํ่าๆ เสาร์ อาทิตย์ ก็ต้องออกไปทำงาน ไปสัมมนา ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับครอบครัวเท่าไร
 
 
 
            ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ  Ahead of the Curvesเขียนโดยนักหนังสือพิมพ์ซึ่งเข้าไปเรียน MBA ที่มหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด และสิ่งที่เข้าค้นพบคือบรรดานักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในอาชีพการงานและกลับมาพูดให้นักศึกษาที่ฮาร์วาร์ดฟังนั้นส่วนใหญ่แล้วจะประสบความล้มเหลวในด้านครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นคนที่ผ่านการหย่าร้างมาหลาย ๆ ครั้ง หรือคนที่ไม่มีโอกาสและเวลาในการดูลูกเติบโต หรือมีแม้กระทั่งพวกที่ได้เจอหน้าลูกตอนที่ลูกหลับ เนื่องจากออกจากบ้านตอนเช้าก่อนลูกตื่น และกลับบ้านดึกหลังจากลูกหลับไปแล้ว
 
            ในวารสาร Business Week ฉบับเดือนกันยายน ก็ลงบทความใหญ่เรื่องของความสมดุล ระหว่างความก้าวหน้าในอาชีพกับชีวิตส่วนตัวไว้เหมือนกันครับ โดยเขาได้ไปสัมภาษณ์ผู้บริหารของบริษัทต่าง ๆ ไว้หลายคน ซึ่งข้อคิดจากบทสัมภาษณ์เหล่านี้ก็น่าสนใจและน่าเรียนรู้นะครับ
  
           ผู้บริหารของธนาคารแห่งหนึ่งให้สัมภาษณ์ไว้น่าสนใจครับโดยจากประสบการณ์ เขาพบเจอคนที่หาเงิน มีรายได้สูงจำนวนมากแต่ปัญหาของคนเหล่านี้คือยิ่งหาเงินได้มาก ก็ยิ่งใช้จ่ายมากเขาเองได้ รับคำแนะนำที่ดีจากเจ้านายว่า ในการใช้เงินนั้นให้เริ่มต้นจากการตอบสนองความต้องการพื้นฐานของตัวเราให้ได้ก่อน
 
         จากนั้นให้พยายามควบคุมความอยากของตนเอง(โดยเฉพาะความอยากได้ทื่เกินความต้องการพื้นฐาน)และถ้าเราสามารถควบคุมความอยากไว้ได้เราก็จะมีอิสระทางด้านการเงินในชีวิตเรามากขึ้นและไม่ตกเป็นทาสของการทำงานหรืออีกนัยหนึ่งคือWork to live NOT live to work
 
          ถ้อยคำภาษาอังกฤษข้างต้นน่าสนใจนะครับ ท่านผู้อ่านลองพิจารณาตัวท่านเองซิ ครับว่า ในปัจจุบันท่านทำงานเพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้หรือมีชีวิตอยู่เพื่อการทำงาน?พวกที่ทำงานเพื่อให้มีชีวิต ก็คือพวกที่ทำงานในระดับที่พอเพียงเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานของชีวิตในด้านต่างๆเพื่อทำให้รู้สึกว่าชีวิตนี้มีคุณค่า
 
          แต่ถ้าท่านเป็นประเภทที่สองคือมีชีวิตอยู่เพื่อการทำงานก็คือพวกที่ชีวิตนี้อุทิศแล้วให้กับงานจะทำทุกอย่างและพร้อมจะเสียสละทุกอย่างในชีวิตเพื่อการทำงาน เชื่อว่าถ้าทุกคนเลือกได้ก็คงจะต้องเลือกเป็นคนประเภทแรกนะครับ เพียงแต่หลายคนอาจจะไม่มีทางเลือก หรือต่อให้มีทางเลือกก็เสพติดงานเข้าไปแล้ว ทำให้ชีวิตนี้ดำรงอยู่เพื่อการทำงานเป็นหลัก
 
   มหาตมะ คานธี ท่านได้เคยกล่าวไว้ครับว่า "Work is a means of living, it is not life itself"
  
            ท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะบอกว่าทุกคนย่อมอยากจะทำงานเพื่อดำรงชีพมากกว่ามีชีวิตเพื่อการทำงาน แต่ไม่มีูทางเลือกเนื่องจากรายได้ในปัจจุบันไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพหรือมีหนี้สินรุงรังหรือมีภาระรับผิดชอบที่จะต้องดูแลก็เลยอยากจะพาท่านผู้อ่านดูบทสัมภาษณ์ขอููงผ้บริหารอีกท่านหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นก้าวสู่ชีวิตการทำงานจะได้วางแผนชีวิตได้ถูกต้องและไม่ตกเป็นทาสของงานเหมือนหลาย ๆ คนที่ไม่มีทางเลือกในปัจจุบัน
 
            ผู้บริหารท่านนี้เขาระบุไว้ว่าเขาและภรรยาสามารถสร้างความสมดุลระหว่างอาชีพกับชีวิตส่วนตัวได้โดยผ่านการวางแผนที่ดีโดยเริ่มต้นจากการเรียนต่อปริญญาโท ในปีแรก ๆ ที่เริ่มทำงาน เพื่อให้มีพื้นฐานและจุดเริ่มต้นที่แน่น และเลือกเรียนในสาขาที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูง พยายามใช้หนี้สินให้หมดไปตั้งแต่ปีแรก ๆ ของชีวิตสมรส
              นอกจากนี้ เขาและภรรยายังพยายามที่จะไม่ก่อหนี้สินต่าง ๆ ขึ้นมา โดยใช้ชีวิตที่พอเพียงและจ่ายทุกอย่างเป็นเงินสด ไม่ว่าจะเป็นการซื้อรถด้วยเงินสด ซื้อบ้านหลักแรก ที่ไม่เน้นหรูหรา ไม่เน้นต่อเติม แต่พออยู่ ๆ ไปก็ค่อย ๆ ต่อเติม และการต่อเติมแต่ละครั้งก็ใช้แต่เงินสด ทั้งเขาและภรรยาทำงานทั้งคู่ (มีบุตรสาวสองคน) และในที่ทำงานนั้น ชีวิตการทำงานของทั้งคู่กก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ ไม่หวือหวาเท่าเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ แต่ขณะเดียวกันทั้งคู่ก็ภูมิใจว่ามีคุณภาพชีวิตทีดีกว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่น ทั้งคู่ทำงานในบริษัทที่ใช้ระบบ Fixtime นั้นคือเข้าทำงานแต่เช้า และกลับบ้านได้เร็ว ทำให้มีเวลารับลูก เล่นกับลูกและดูแลลูกทุก ๆเย็น 
 
               อย่ดีนะครับ เพียงแตู่ถ้าเรามีการวางแผนที่ดีและหยุดยั้งความต้องการต่าง ๆ ของเราให้อย่ในระดับูที่พอเพียงได้เราก็จะสามารถมีคุณภาพชีวิตทีดี และยังสามารถทำงานได้อย่างมีความสุขท่านผู้อ่านจะเลือกทางเลือกไหนครับ
 
            อย่างไรก็ดีจากตัวอย่างข้างต้นก็แสดงให้เห็นว่าผู้บริหารท่านนั้นก็ยังเลือกชีวิตครอบครัูวเหนือความก้าวหน้าในอาชีพการทำงาน
              
บทความโดย : รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์  คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่มา : เว็บไซต์ห้องสมุดคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

แก้ไขล่าสุด ( วันจันทร์ที่ 03 สิงหาคม 2009 เวลา 09:05 น. )